รู้วงเงินก่อนออกรถ ผ่านมือถือ
กับกรุงศรี ออโต้
พร้อมสตาร์ท
สแกนเลย!
ประเมินวงเงินพร้อมสตาร์ท
รู้ผลใน 3 นาที
หรือ
ดูวงเงินพร้อมสตาร์ทที่ได้รับ
เคยประเมินแล้ว ดูวงเงินเลยฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี ได้ทำการเผยโฉม Next-Gen Everest เป็นครั้งแรกในโลก ที่ได้รับการพัฒนาให้มีดีไซน์ภายนอกที่แข็งแกร่ง พร้อมลุยในทุกเส้นทาง อีกทั้งภายในยังมีห้องโดยสารที่หรูหรา สะดวกสบาย และทันสมัย โดยทาง Ford ได้ผสานสมรรถนะทั้งหมดเพื่อให้ Everest กลายเป็นรถยนต์นั่งอเนกประสงค์ที่รองรับครอบครัว ที่ต้องการรถที่สามารุรองรับผู้โดยสารได้ 7 ที่นั่ง ทั้งยังพร้อมลุย ให้ความหรูหรา และมอบสนุกในทุกการเดินทาง
และที่สำคัญคือมีเทคโนโลยีและระบบความปลอดภัยที่เหนือระดับ โดยถูกพัฒนาขึ้นโดยคำนึงถึงกลุ่มลูกค้าเป็นสำคัญ โดยมีการนำความเห็นของลูกค้ามาพิจารณา จากนั้นทีมวิศวกรและนักออกแบบจึงเริ่มพัฒนารถรุ่นนี้ จนเป็นรถที่ภายนอกแข็งแกร่งสะดุดตา ภายในหรูหราเป็นส่วนตัว
โดยมีการสื่อสารออกมาแล้วว่าจะมี 3 รุ่นย่อย ให้เลือก ประกอบด้วย รุ่นสปอร์ต, รุ่นไทเทเนียมพลัส และรุ่นแพลทินัม ที่เป็นรุ่นย่อยใหม่ล่าสุด (รายละเอียดข้อมูลสเปคต่างๆ ของแต่ละรุ่นคงต้องรอการเปิดตัวพร้อมราคาในไทย)
จากเหตุผลข้างต้นทำให้การออกแบบของ Next-Gen Everest นั้นออกมาดังนี้ ระยะฐานล้อที่กว้างและระยะระหว่างล้อหน้าและหลังเพิ่มขึ้น, ภายนอกดูบึกบึนมากขึ้นไฟหน้าดีไซน์ใหม่รูปตัว C และลายเส้นอันทรงพลังบนกระจังหน้า ส่วนเส้นด้านข้างตัวถังทอดยาวจากด้านหน้าจรดท้ายรถ ประกอบกับฐานล้อที่กว้างทำให้ซุ้มล้อใหญ่โดดเด่น เพิ่มความแข็งแกร่งและทันสมัยให้กับรถ
ราวหลังคาถูกออกแบบรองรับการผจญภัยโดยเฉพาะ สามารถรับน้ำหนักได้มากถึง 350 กิโลกรัมขณะรถจอดอยู่กับที่ และ100 กิโลกรัมขณะรถเคลื่อนที่ มอบการใช้งานแบบอเนกประสงค์ยิ่งขึ้นเพื่อบรรทุกสิ่งของ เช่น จักรยาน เรือแคนู กล่องสัมภาระ ไปจนถึงเต็นท์บนหลังคารถ พร้อมจุดยึดที่รองรับการใช้งานหลากหลายเหมาะสำหรับการติดตั้งหรือใช้อุปกรณ์เสริมต่างๆ
ภายในห้องโดยสาร เน้นความสะดวกสบายและความเป็นส่วนตัว โดยนำคอมเม้นท์จากลูกค้ามาปรับให้ Next-Gen Everest เงียบขึ้น โดยปกติแล้วรถขนาด 7 ที่นั่ง ซึ่งมีหลายแถว ผู้โดยสารเวลาจะคุยกันอาจต้องตะโกนหรือใช้เสียงดัง
แต่ภายใน Next-Gen Everest เงียบพอที่จะพูดคุยกันได้ง่ายๆ จากความเงียบของห้องโดยสารที่เพิ่มขึ้น ทั้งยังพัฒนาอุปกรณ์ รวมถึงการตกแต่งภายในห้องโดยสาร โดยนำแรงบันดาลใจมาจากบ้านสมัยใหม่
ส่วนเรื่องของความกว้างขวางในห้องโดยสาร เกิดจากการออกแบบที่สอดรับกันหลายส่วน ตั้งแต่แผงหน้าปัดด้านหน้าดิจิทัลขนาด 8 หรือ 12.4 นิ้วขึ้นอยู่กับแต่ละรุ่นย่อย, คอนโซลกลาง ที่วางเต็มความกว้างของพื้นที่ และยังมีหน้าจอทัชสกรีนแนวตั้งความคมชัดสูงขนาด 10.1 หรือ 12 นิ้ว ที่เชื่อมต่อกับกล้อง 360 องศา โดยมีหน้าจอแยกส่วนเพื่อให้จอดรถได้สะดวกยิ่งขึ้นในพื้นที่แคบ อีกด้วย
ในบางรุ่นรถยังรองรับระบบการชาร์จแบบไร้สาย เบาะนั่งแถวที่ 3 เข้า-ออกได้ง่ายขึ้น ด้วยการออกแบบให้เบาะนั่งแถวที่ 2 ขยับมาด้านหน้ามากกว่าเดิม อีกทั้งได้เพิ่มปลั๊กไฟทั้ง 3 แถวเพื่อให้ทุกคนสามารถชาร์จอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของตนเองได้
โดย Next-Gen Everest ยังมาพร้อมระบบเชื่อมต่อการสื่อสาร SYNC® 4A รองรับการสั่งงานด้วยเสียงเพื่อการสื่อสาร, ควบคุมอุปกรณ์ต่าง รวมถึงการติดตั้งโมเด็มมาจากโรงงานเพื่อให้รถคันนี้เชื่อมต่อกับแอปพลิเคชัน FordPass™ iv,v เพื่อให้คุณสามารถในการสตาร์ทรถจากระยะไกล การตรวจเช็คสถานะต่างๆ ของรถ รวมไปถึงการล็อค และปลดล็อคผ่านโทรศัพท์มือถือ
เครื่องยนต์ดีเซล 3.0 ลิตร V6 เทอร์โบ
เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร เทอร์โบ
มาถึงเรื่องขุมพลังทาง Ford เล็งเห็นความต้องการของลูกค้าที่ต้องการรถที่มีกำลังและแรงบิดมากขึ้นสำหรับการลากจูง, บรรทุกของหนัก และการเดินทางที่ทรหด จึงได้เลือกให้ Next-Gen Everest มากับเครื่องยนต์ดีเซล 3.0 ลิตร V6 เทอร์โบ ที่ถูกมาปรับจูนมาให้เหมาะสมที่สุด และเครื่องยนต์เบนซิน 2.3 ลิตร EcoBoost กับเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร เทอร์โบ อีก 2 แบบ
จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด และเกียร์อัตโนมัติแบบซีเล็กชิฟท์ 10 สปีด พร้อมเบรกไฟฟ้า เพื่อให้เหมาะกับไลฟสไตล์ที่แตกต่างกัน (ตัวเลือกของเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซลสำหรับบางประเทศ) โดยเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบเดี่ยวเน้นให้พละกำลัง แรงบิด และการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง
ขณะที่เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบคู่ เป็นเครื่องยนต์ที่มีประสิทธิภาพสูง และยังคงคำนึงถึงเรื่องการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงด้วย
ในส่วนช่วงล่างของ Next-Gen Everest มาพร้อมฐานล้อที่กว้างขึ้น 50 มิลลิเมตร ทำให้การควบคุมรถดีขึ้น ในขณะที่การปรับแต่งโช้คอัพใหม่ช่วยเพิ่มความสนุกเร้าใจในการขับขี่และช่วยให้การควบคุมรถทั้งบนถนนและเส้นทางออฟโรดง่ายยิ่งกว่าเคย
อีกทั้งระบบการขับขี่ 4 ล้อ 2 รูปแบบ ประกอบด้วย เกียร์ทรานสเฟอร์แบบ 2 จังหวะ ควบคุมด้วยไฟฟ้าพร้อมโหมดการขับขี่ที่เลือกใช้งานให้เหมาะกับสภาพถนนได้ พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบพาร์ทไทม์ กับแบบฟูลไทม์ กับโหมดการขับขี่ออฟโรดที่หลากหลาย และ เฟืองท้ายแบบ Locking Rear Differential และยังมีตะขอคู่หน้า กับช่องต่อพ่วงอุปกรณ์ออฟโรด Upfitter Switch (จากข้อมูลในบางประเทศมีตัวเลือกระบบการขับเคลื่อนแบบ 2 ล้อให้เลือก)
เทคโนโลยีช่วยการขับขี่และอุปกรณ์ปกป้องความปลอดภัยของ Next-Gen Everest ก็ได้รับการพัฒนาไปอีกขั้น เริ่มต้นด้วยการติดตั้งถุงลมนิรภัยระหว่างผู้ขับและผู้โดยสารด้านหน้า เพื่อเพิ่มการป้องกันในกรณีที่มีการชนจากด้านข้าง และถุงลมนิรภัยคู่ด้านหน้าป้องกันเข่าและขา ทำให้เอเวอเรสต์มาพร้อมถุงลมนิรภัยสูงสุดถึง 9 ตำแหน่ง (ขึ้นอยู่กับรุ่นและประเทศที่จำหน่าย), ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ ช่วยให้สามารถจอดรถในพื้นที่แคบได้อย่างปลอดภัย, ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ (ขึ้นอยู่กับรุ่นและประเทศที่วางจำหน่าย) ประกอบด้วย
และคุณจะมั่นใจว่ารถที่คุณเล็งไว้ กรุงศรีออโต้พร้อมช่วยให้คุณออกรถได้จริง อย่าลืมไปออกรถในงาน Motor Show กับกรุงศรีออโต้ด้วยนะ :)
**วงเงินที่ได้รับการประเมินสามารถใช้ได้ภายใน 6 เดือนนับแต่วันที่ประเมินและผลลัพธ์เป็นแค่การพิจารณาเบื้องต้น โดยผลลัพธ์อาจเปลี่ยนแปลงได้ขึ้นอยู่กับข้อมูลสถานะของท่าน
ประเมินวงเงินฟรีใน 3 นาที!
(ไม่ต้องใช้เอกสาร)
พร้อมออกรถคันใหม่ด้วยวงเงิน
จาก กรุงศรี ออโต้ พร้อมสตาร์ท
หรือหากเคยประเมินแล้ว