รู้วงเงินก่อนออกรถ ผ่านมือถือ
กับกรุงศรี ออโต้ พร้อมสตาร์ท
สแกนเลย!

QRCODE

ประเมินวงเงินพร้อมสตาร์ท
รู้ผลใน 3 นาที

เริ่มประเมินวงเงิน

หรือ

ดูวงเงินพร้อมสตาร์ทที่ได้รับ

เคยประเมินแล้ว ดูวงเงินเลย

เทียบให้ชัด Honda Accord เจเนอเรชันที่ 10 รุ่นไหนน่าซื้อที่สุด

               Honda Accord นับเป็นรถยนต์รุ่นสำคัญรุ่นหนึ่งของฮอนด้า ที่ได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้าทั่วโลกมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังเป็นผู้นำในการแนะนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้าสู่ตลาดอยู่เสมอๆ จนในปัจจุบันนี้ก็มาถึง เจเนอเรชันที่ 10 ที่ครบครันไปด้วยเทคโนโลยีระดับพรีเมียม และยังมีเทคโนโลยีการขับ พร้อมทั้งเครื่องยนต์เทอร์โบและระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด Sport Hybrid i-MMD พร้อมทั้งยังมี Honda SENSING เป็นมาตรฐานความปลอดภัยครอบคลุมทุกรุ่นย่อย ตอกย้ำตำแหน่งของผู้นำด้านยนตรกรรมพรีเมียมซีดาน

               Honda Accord เจนเนอเรชันนี้มีอยู่ด้วยกัน 3 รุ่น โดย รุ่น ELเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร Di VTEC TURBO มีกำลัง 190 แรงม้า แรงบิด 243 นิวตัน-เมตร กับเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT ให้สมรรถนะการขับขี่ที่เหนือกว่าเครื่องยนต์ 2.4 ลิตร แต่มีอัตราการประหยัดน้ำมันที่ 16.4 กิโลเมตร/ลิตร และรองรับน้ำมัน E85 ส่วนรุ่น e:HEV+ และ e:HEV TECH ที่มีระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด Sport Hybrid Intelligent Multi-Mode Drive (i-MMD) ที่รวมเอาพลังของเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร ที่ผสานกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ได้แก่ มอเตอร์ที่ทำหน้าที่สร้างกระแสไฟฟ้า กับมอเตอร์ที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนล้อ กับเกียร์อัตโนมัติแบบ E-CVT โดยทั้งระบบจะมีกำลังสูงสุดได้ถึง 215 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 315 นิวตัน-เมตร โดยมีอัตราการประหยัดน้ำมันที่ 24.4 กิโลเมตร/ลิตร โดยในรุ่นนี้ถูกพัฒนาขึ้นโดยเน้นหลักสำคัญๆ อยู่ 3 ด้านนั่นคือ 

1) Dynamics – ความปราดเปรียว โฉบเฉี่ยว ทั้งในด้านดีไซน์ และสมรรถนะการขับขี่

2) Captivating – ความมีเสน่ห์และน่าดึงดูดของรถยนต์ที่มาพร้อมเทคโนโลยีอันล้ำสมัย 

3) Upscale – ยกระดับคุณภาพการพัฒนายนตรกรรมให้สง่างาม และเหนือระดับเกินคลาส

 

                เป็นผลให้ Accord เจเนอเรชันนี้ มีความโดดเด่นมีสไตล์ที่สุด, พรีเมียมที่สุด และมาพร้อมสมรรถนะการขับขี่ที่สปอร์ตเร้าใจที่สุดเท่าที่เคยมีมา แล้วทั้ง 3 รุ่นต่างกันยังไงบ้าง อย่างแรกคือราคาโดยรุ่น e:HEV TECH ที่ถือว่าเป็นรุ่นท็อปสุดนั้นมีราคาอยู่ที่ 1,799,000 บาท ส่วนรุ่นกลางอย่างรุ่น e:HEV EL+ นั้นมีราคาอยู่ที่ 1,639,000 บาท (เทียบกับรุ่น e:HEV TECH แล้วราคาถูกกว่า 160,000 บาท) และรุ่นสุดท้ายรุ่น EL นั้นมีราคาอยู่ที่ 1,499,000 บาท (เทียบกับรุ่น e:HEV EL+ แล้วราคาถูกกว่า 140,000 บาท) 

               เมื่อเทียบกันในด้านอุปกรณ์มาตรฐาน อย่างแรกที่ทั้ง 3 รุ่น มีเหมือนกันนั่นก็คือ เทคโนโลยีความปลอดภัย HONDA SENSING ที่ผสานการทำงานของเรดาร์และกล้องด้านหน้า ในการตรวจจับสภาวะแวดล้อมบนท้องถนน ช่วยแจ้งเตือนผู้ขับขี่ และช่วยควบคุมรถในสถานการณ์การขับขี่ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ เพื่อความปลอดภัยของตัวผู้ขับขี่และเพื่อนร่วมทางบนท้องถนน ประกอบด้วย 

  • ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก (Collision Mitigation Braking System: CMBS) 
  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผันพร้อมระบบปรับความเร็วตามรถยนต์คันหน้าที่ความเร็วต่ำ (Adaptive Cruise Control with Low-Speed Follow: ACC with LSF) 
  • ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (Lane Keeping Assist System: LKAS)
  • ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ (Road Departure Mitigation System with Lane Departure Warning : RDM with LDW) 
  • ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Auto High-Beam: AHB) 

               ด้านเทคโนโลยีด้านการขับขี่ในรุ่น EL จะมี Paddle Shift มาให้ในขณะ e:HEV EL+ และ e:HEV TECH จะได้ระบบช่วยชะลอลดความเร็วรถที่พวงมาลัย หรือ Deceleration Paddle Selectors ในรุ่น e:HEV TECH ยังจะได้ระบบแสดงข้อมูลบนกระจกหน้าจอ หรือ HUD นอกนั้นที่ทั้ง 3 รุ่นจะได้เหมือนๆ กันคือ ปุ่ม ECON, โหมดการขับขี่แบบสปอร์ต, ระบบเบรกมือไฟฟ้า, ระบบ Auto Brake Hold และมาตรวัดพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ TFT ขนาด 7 นิ้ว

ในด้านดีไซน์ภายนอก ในรุ่น e:HEV TECH จะเป็นรุ่นเดียวที่จะได้ ซันรูฟ พร้อมระบบ One-Touch, ไฟส่องสว่างมือจับเปิดประตูด้านนอก และ สปอยเลอร์หลัง ส่วน กระจกมองข้างด้านซ้ายปรับลดอัตโนมัติเมื่อถอยหลังจะมีอยู่ใน e:HEV EL+ และ e:HEV TECH ด้าน EL จะได้ท่อไอเสียคู่พร้อมปลอกท่อไอเสียสแตนเลส

แล้วที่ทั้ง 3 รุ่นมีเหมือนกันนั่นคือ ไฟหน้าและไฟท้ายแบบ LED, ไฟ Daytime Running Lights แบบ LED, ไฟตัดหมอกคู่หน้าแบบ LED, ระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ และเสาอากาศแบบครีบฉลาม ในรุ่น e:HEV EL+ และ e:HEV TECH จะตกแต่งด้วยโลโก้ H Mark ตกแต่งกรอบสีฟ้า และสัญลักษณ์ e:HEV ที่ด้านท้าย 

ส่วนภายใน และความสะดวกสบาย สิ่งที่ทั้ง 3 รุ่นมีเหมือนกัน นั่นก็คือสีภายในสีน้ำตาล หรือสีดำ (ขึ้นอยู่กับสีภายนอก) ส่วนวัสดุหุ้มเบาะเป็นหนังแท้และหนังสังเคราะห์ และตกแต่งลายไม้ พร้อมทั้งระบบสตาร์ทเครื่องยนต์และเครื่องปรับอากาศด้วยรีโมท, ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์แบบ One Push Ignition System, Honda Smart System Key System, เบาะคู่หน้าปรับไฟฟ้า, เบาะโดยสารด้นหลังพับได้, กระจกมองหลังลดแสงอัติโนมัติ, ระบบปรับอากาศแบบ Dual Zone, แอร์หลัง, ม่านบังแดด และอุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย แต่ในรุ่น e:HEV EL+ และ e:HEV TECH จะมีปุ่มปรับเบาะไฟฟ้าข้างพนักพิงเบาะนั่งผู้โดยสารตอนหน้า และ ระบบฟอกอากาศแบบ Plasmacluster เพิ่มเข้ามาให้

ในด้านระบบเครื่องเสียง สิ่งที่ทั้ง 3 รุ่นมีเหมือนกันคือ หน้าจอ แบบ Advanced Touch ขนาด 8 นิ้ว ที่รองรับ Apple CarPlay พร้อมช่องเชื่อมต่อ USB รวม 4 ตำแหน่ง, ระบบเชื่อมต่อ Bluetooth, รอรับการสั่งการด้วยเสียง Siri, ระบบควบคุมเสียงรบกสนเข้าห้องโดยสาร และ Honda CONNECT ในรุ่น EL จะได้ลำโพง 8 จุด แต่ในรุ่น e:HEV EL+ และ e:HEV TECH จะได้ 10 จุด และยังได้ ระบบเนวิเกเตอร์, ระบบเครื่องเสียง Premium Sound System พร้อม Sub-Woofer

ด้านความปลอดภัย e:HEV TECH จะได้ ระบบมองกล้องรอบทิศทาง, ระบบเตือนเมื่อมีกล้องขณะถอย, ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ และเซ็นเซอร์กะระยะ ส่วนระบบที่มีอยู่ใน รุ่น e:HEV EL+ และ e:HEV TECH นั้น ประกอบด้วย ระบบแจ้งเตือนแรงดันลมนาง, เสียงเตือนคนภายนอกรถขณะขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า, กระจกมองข้างลดการเกาะตัวของหยดน้ำ นอกนั้นจะได้ระบบความปลอดภัยพื้นฐานตามที่ควรจะมีอยู่ในรถรุ่นนี้เหมือนกันทั้งหมด 

               สำหรับใครที่สนใจจะซื้อ Honda Accord จะได้รับแคมเปญพิเศษด้านการบริการหลังการขาย ได้แก่ ฟรีค่าแรงในการเช็กระยะเป็นเวลา 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร* (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน), โปรแกรมการให้บริการพิเศษด้านคุณภาพรถยนต์ Honda Ultimate Care ด้วยการขยายการรับประกันคุณภาพรถยนต์ใหม่เป็น 5 ปี หรือ 140,000 กิโลเมตร (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) และบริการช่วยเหลือฉุกเฉินนอกสถานที่ 24 ชั่วโมง ในรุ่น e:HEV จะได้รับการรับประกันอายุการใช้งานแบตเตอรี่ไฮบริดถึง 10 ปี และรับประกันระบบไฮบริดทั้งระบบ 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง และค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาในระยะเวลา 5 ปีหรือ 100,000 กิโลเมตร ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาที่ต่ำที่สุดในตลาด D-Segment

             สำหรับผู้ที่สนใจจะเป็นเจ้าของรถรุ่นนี้สามารถติดต่อขอสินเชื่อได้ที่ กรุงศรี ออโต้ ให้บริการโดย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ติดต่อ กรุงศรี ออโต้ คอล เซ็นเตอร์ โทร. 0-2740-7400 และติดตามบทความรุ่นอื่นๆ ที่น่าสนใจเพิ่มเติม  คลิก หรือหากสนใจสมัครสินเชื่อรุ่นนี้ คลิกที่ปุ่ม ขอสินเชื่อ จัดเลย!! ที่ด้านล่างนี้

บทความแนะนำ

swiper-arrow-prev
swiper-arrow-next
ขอสินเชื่อ จัดเลย!
กลับสู่ด้านบน