ALL NEW MG3 HYBRID+ ที่จะมาเปลี่ยนนิยามรถไฮบริดด้วยความเป็นที่สุดใน B-segment ประหยัดกว่า แรงกว่า กว้างกว่า ปลอดภัยกว่า พร้อมเคาะราคาอย่างเป็นทางการสิงหาคมนี้

     MG เซลส์ (ประเทศไทย) เดินหน้านำเสนอทางเลือกใหม่ให้คนไทยด้วยยนตรกรรมในทุกรูปแบบการขับเคลื่อน พร้อมสร้างประสบการณ์ครั้งใหม่ในตลาด B-Segment กับการเปิดตัว ALL NEW MG3 HYBRID+ รถ Hatchback ไฮบริด 5 ประตู โกลบอลโมเดลรุ่นที่ 2 ของ MG จากสายการผลิตในประเทศไทย เจาะกลุ่มลูกค้ายุคใหม่ ชูจุดเด่นรถยนต์พลังงานทางเลือกที่แตกต่างไม่เหมือนใคร 

     พร้อมขุมพลังไฮบริด (HYBRID+) ประหยัดกว่าด้วยระยะทาง 800 กิโลเมตร พร้อมอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในเวลา 8 วินาที เหนือระดับด้วยเทคโนโลยีระบบความปลอดภัยครอบคลุม การันตีสมรรถนะที่ยอดเยี่ยมด้วยรางวัล และผลการทดสอบโดยทีมวิศวกรรมชั้นนำระดับโลก เตรียมพร้อมประกาศราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการภายในเดือนสิงหาคมนี้

ALL NEW MG3 HYBRID+ โดดเด่นเหนือใคร ด้วยดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ ที่ผสานระหว่างความสปอร์ตและความหรูหราได้อย่างลงตัว ทั้งปราดเปรียว คล่องตัวในสไตล์รถ Hatchback มาพร้อมความเท่ และดุดัน

     เส้นสายการออกแบบรอบตัวถังเน้นความโค้งมนตามแบบฉบับของ MG กับขนาดมิติตัวถังที่มีความยาว 4,113 มิลลิเมตร ความกว้าง 1,797 มิลลิเมตร และความสูง 1,502 มิลลิเมตร โดยมีระยะต่ำสุดจากพื้นอยู่ที่ 117 มิลลิเมตร

     ภายใน ALL NEW MG3 HYBRID+ ดูสปอร์ตอย่างมีสไตล์ สะดวกสบาย ครบจบทุกฟังก์ชันการใช้งานด้วยการสร้างสรรค์ขึ้นภายใต้ Modular Concept ที่ให้ความสำคัญกับวัสดุที่มีคุณภาพพร้อมการออกแบบคอนโซลที่เล่นระดับให้มีมิติ เพิ่มความหรูหราด้วยภายในแบบทูโทนขาวสลับดำ เน้นความสะดวกในการใช้สอย สำหรับทั้งคนขับและผู้โดยสาร ทั้งเพิ่มอรรถประโยชน์ในการใช้งาน โดยเฉพาะการออกแบบห้องโดยสารที่โดดเด่นในเรื่องของพื้นที่เหนือศีรษะ และพื้นที่วางขาที่ไม่อึดอัด

     โดยจะมีพวงมาลัยมัลติฟังก์ชันหุ้มหนัง พร้อมปุ่มควบคุมเครื่องเสียงพร้อมปุ่มรับ–วางสายโทรศัพท์, กระจกไฟฟ้า One Touch Up-Down ด้านผู้ขับขี่, หน้าจอแสดงผลอัจฉริยะแบบดิจิตอลขนาด 7 นิ้ว, หน้าจอสีระบบสัมผัสขนาด 10.25 นิ้ว, ลำโพง 6 จุด, รองรับระบบเชื่อมต่อมัลติมีเดีย Apple CarPlay และสมาร์ตโฟนระบบ Android แบบไร้สาย

     เบาะนั่งคนขับปรับได้ 6 ทิศทาง และเบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้าปรับได้ 4 ทิศทาง, ระบบปรับอากาศแบบดิจิตอล, ช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง, ระบบกรองอากาศ PM 2.5

     โดย ALL NEW MG3 HYBRID+ ถือเป็นรถที่กว้างที่สุดในคลาสเดียวกัน โดยเฉพาะห้องสัมภาระท้าย จุได้มากถึง 293 ลิตร และเมื่อพับเบาะสามารถจุได้มากถึง 1,037 ลิตร

     ขับสนุกเหมือนรถไฟฟ้าเพราะ ALL NEW MG3 HYBRID+ ไม่ต้องรอชาร์จไฟ สมรรถนะและประสิทธิภาพที่เหนือกว่ารถไฮบริดทั่วไปใน B-Segment ทั่วไป เพราะให้กำลังมากที่สุดในคลาสเดียวกัน ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร (DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว DVVT) กำลังสูงสุด 102 แรงม้า (75 กิโลวัตต์) ผสานการทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ High-performance Permanent Magnet Synchronous Motors กำลังสูงสุด 136 แรงม้า (100 กิโลวัตต์) ให้ขุมพลังรวมสูงสุดถึง 194 แรงม้า (143 กิโลวัตต์) แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร

      และแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาดใหญ่ ในรูปแบบ Cell-To-Pack ความจุ 1.83 kWh ซึ่งมีความจุมากที่สุดในรถขนาดเดียวกัน ส่งกำลังด้วย Hybrid Transmission หรือ เกียร์ไฟฟ้าแบบ E-AT 3 อัตราทดเกียร์ ปรับการทำงานแบบอัตโนมัติ สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในเวลาเพียง 8 วินาที และอัตราเร่ง 80-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในเวลาเพียง 5 วินาที ผลลัพธ์จากเทคโนโลยีของ MG อย่างระบบ HYBRID+ กับ 8 โหมดขับเคลื่อนที่จะมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ประหยัดน้ำมัน สามารถวิ่งได้ไกลกว่า 800 กิโลเมตร ทำให้ขับสนุกที่สุดในคลาส    

     ALL NEW MG3 HYBRID+ มอบความปลอดภัยเหนือระดับทุกการเดินทาง ด้วยโครงสร้างตัวถังนิรภัยแบบ FSF (Full Space Frame) เพียบพร้อมด้วยระบบความปลอดภัยมาตรฐาน ADVANCED SYNCHRONIZED PROTECTION SYSTEM ซึ่งรวมระบบความปลอดภัยอัจฉริยะ ADVANCED DRIVER ASSISTANCE SYSTEM (ADAS) หรือระบบอำนวยความสะดวกช่วยควบคุมการขับขี่ และลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุจำนวน 8 ระบบ พร้อมระบบเบรกอัจฉริยะ (Intelligent Brake System) 

     นอกจากนี้ ยังมีระบบเบรกมือไฟฟ้า EPB, ระบบป้องกันการไหลของรถโดยไม่ต้องเหยียบเบรกค้าง AVH, ระบบควบคุมการเบรกในขณะเข้าโค้งด้วยความเร็ว XDS, ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล TCS, ระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HAS, ระบบสัญญาณไฟแจ้งเตือน เมื่อมีการเบรกฉุกเฉิน ESS, ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC, ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ TJA, ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนพร้อมปรับองศาพวงมาลัย หากออกนอกเลน ELK โดยผสานรวมระบบช่วยควบคุมรถเมื่อรถออกนอกเลน LDP กับระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LKA และ ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน เข้าไว้ด้วยกัน 

     นอกจากนั้น ก็ยังมีระบบช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์คันหน้าขณะขับขี่ FCW, ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ AEB, ระบบตรวจจับพฤติกรรมการขับขี่ UDW, ระบบควบคุมความเร็วรถอัตโนมัติ ICA, ระบบตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง TPMS, กล้องรอบคัน 360 องศา แบบ High Definition, สัญญาณเตือนระยะถอยหลัง, ระบบกุญแจนิรภัยแบบ Immobilizer, ระบบไฟส่องนำทางหลังจากดับเครื่อง (FOLLOW ME HOME) เป็นต้น

     สำหรับผู้ที่สนใจ ALL NEW MG3 HYBRID+ ว่าจะมีกี่รุ่นย่อย และราคากี่บาทนั้น อดใจรออีกนิดเพราะทาง MG เซลส์ (ประเทศไทย) ประกาศว่าจะเปิดราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการภายในเดือนสิงหาคมนี้แล้ว

     ผู้ที่สนใจเป็นเจ้าของ ALL NEW MG3 HYBRID+ หรือรุ่นอื่น ๆ ของ MG สามารถเช็กวงเงินเพื่อวางแผนได้ก่อน ที่ >> กรุงศรี ออโต้ พร้อมสตาร์ท ขอประเมินได้ก่อนโดยไม่ต้องส่งเอกสาร คลิกที่นี่ <<